Saturday, 12 July 2025
POLITICS NEWS

'ปิยบุตร' โวยนักการเมืองขี้ขลาด รังเกียจนิรโทษคดี ม.112 เพราะยังไม่มี 'ใบอนุญาต'

(11 ก.ค. 68) - นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

เหตุที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจำนวนมากตั้งข้อรังเกียจกับการนิรโทษกรรมในความผิดการแสดงออกทางการเมือง โดยรวมความผิดตามมาตรา 112 ไปด้วยนั้น

ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอก นอกจาก ยังไม่มี 'ใบอนุญาต' ให้ทำ จึงเกรงว่า หากทำลงไปแล้วจะถูกยึด 'ใบอนุญาต' ที่ให้เป็นรัฐบาล หรือตัดโอกาสการได้ 'ใบอนุญาต' ให้เป็นรัฐบาล

ลองถ้ามีปาฏิหาริย์ มี 'ใบอนุญาต' ให้นิรโทษกรรมขึ้นมาสิ ขี้คร้านจะกลับลำ 360 องศา จนคนดูงงไปตาม ๆ กัน

ปัญหาที่ควรขบคิดพิจารณาต่อไป

ถ้าสัมพันธภาพทางอำนาจตามการเมืองความเป็นจริงนี้บอกเราว่า นิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 โดยพลการไม่ได้ ต้องมี 'ใบอนุญาต' เสียก่อน บรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองได้พยายามหา 'ใบอนุญาต' เพื่อนิรโทษกรรมคดี 112 นั้นแล้วหรือยัง?

แล้วเหตุใด การตรากฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นอำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร กลับต้องมี 'ใบอนุญาต' เสียก่อน

ตกลงแล้ว สภาของผู้ที่รวมตัวกันแล้วอ้างเป็นผู้แทนของราษฎร เป็น 'ผู้แทน' ของ 'ใคร' กันแน่?

นักการเมืองและพรรคการเมืองไทยในยุคนี้ ขี้ขลาดขี้กลัวกว่านักการเมืองและพรรคการเมืองไทยในอดีตมาก

‘ชัยวุฒิ’ ฝาก ‘อิ๊ง’ อย่านำกาสิโนมาสร้างวัฒนธรรมที่ผิด เชื่อจีนไม่เอากาสิโนจริง หวั่นภาคท่องเที่ยวกระทบยาว

‘ชัยวุฒิ’ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เชื่อผู้นำจีน ไม่หนุนกาสิโน พร้อมฝากรมว.วัฒนธรรม อย่านำกาสิโนมาสร้างวัฒนธรรมที่ผิดให้กับคนไทย 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า  ฝากไปถึงรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คุณอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยากให้ช่วยดูแลเรื่องวัฒนธรรมของเมืองไทยให้สวยงาม ให้เป็นแหล่งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้คนอยากมาเที่ยว เพราะวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย  อย่าไปสร้างวัฒนธรรมที่ผิดๆ เรื่องกาสิโน เรื่องการพนัน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ดีงามของสังคมไทยอย่างแน่นอน 

สําหรับชาวต่างชาติมองประเทศไทยเป็นประเทศเมืองพุทธ เมืองที่สงบสุขปลอดภัย คนต่างชาติก็อยากมาเที่ยวอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปทำกาสิโนทําให้เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัย ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศจีนก็จะไม่อยากมาเที่ยวเมืองไทยของเรา 

“ผมว่าทุกประเทศในโลกก็ไม่เห็นด้วยกับ การพนัน ไม่อยากให้ประชาชนพลเมืองเค้าไปเล่นการพนันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผมทราบมาว่าประเทศจีนตอนนี้ก็มีการจํากัดการเดินทางไปมาเก๊า ไม่อยากให้คนไปเล่นการพนัน ให้เดินทางไปปีนึงไม่เกิน 3-4 ครั้ง ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่แปลกที่เค้าจะไม่อยากให้คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยถ้าเมืองไทยมีกาสิโน เพราะว่าจะเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนคนจีนอย่างแน่นอน ซึ่งก็หมายความว่าถ้าเรามีกาสิโนการท่องเที่ยวก็จะได้ผลกระทบรุนแรงแน่นอน”

ทั้งนี้  อยากให้รัฐบาลคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี ส่งเสริมการท่องเที่ยวเอาใจใส่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวให้ดี เพราะตอนนี้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวเดือดร้อนกันมาก ขอให้เอาใจใส่แล้วเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาโดยด่วน นี่ก็เป็นเรื่องสําคัญที่อยากให้รัฐบาลพิจารณาส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง วันนี้คนที่อยู่ในธุรกิจทางท่องเที่ยวเดือดร้อนกันมาก นักท่องเที่ยวหายไปทั้งจากจีนและหลายประเทศ โดยเฉพาะถ้าเรามีการส่งเสริมเรื่องความปลอดภัย เรื่องการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ดี  น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการทำกาสิโน เพราะการทำกาสิโนจะทําให้หลายประเทศอาจจะต่อต้าน ไม่อยากให้คนในประเทศของเขาเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในอนาคต

‘ทักษิณ’ โชว์ตัวงานซอฟต์พาวเวอร์ เปิดตัว ThaiWORKS ต่อยอดโอทอป โอดการเมืองไร้สาระ ฉุดพัฒนา ลั่นความไม่สามัคคี อิจฉาริษยา เป็นปัญหาใหญ่ประเทศ

(9 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางร่วมงาน SPLASH soft power forum 2025 เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond“ โดยถือเป็นการเจอสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายหลังเงียบหายวงสัมภาษณ์สื่อไปนาน ตั้งแต่เกิดข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ปมคลิปเสียง โดยนายทักษิณมีสีหน้ายิ้มแย้มทักทายแฟนคลับ ขณะที่ภายในงานมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พร้อมสามี มาร่วมรับฟังการโชว์วิสัยทัศน์ของนายทักษิณด้วย

จากนั้นเวลา 13.30 น. นายทักษิณ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีถึงจุดเริ่มต้นของโอทอป ว่า ตนเติบโตที่ชินวัตรไหมไทย เห็นงานแฮนดิคราฟต์มาตลอด ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ไปไม่ได้ไกลอย่างที่คิด ดังนั้นถ้าเรามีการออกแบบใหม่ๆ การดีไซน์ใหม่ๆ และการตลาดดีๆ มันน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น จึงดูตัวอย่างของญี่ปุ่นและทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหวังช่วยชาวบ้านให้มีรายได้ และตอนที่ตนอยู่เมืองนอก Peter Arnell ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์มาพบกับตน เป็นคนสร้างแบรนด์และทำงานกับ Samsung มาตลอด เลยชวนมาทำ ThaiWORKS ต่อยอดจากโอทอป ตนรู้ว่าโลกยุคนั้นต้องสร้างแบรนด์ แต่ว่าบริษัทเล็กๆ หมด หากจะสร้างแบรนด์ต้องใช้เงินเยอะเพื่อนำไปสู่สากล ดังนั้นให้มาเกาะปีกแบรนด์ไทยแลนด์จึงจะสร้างแบรนด์ไทยแลนด์บายยี่ห้อใคร เมื่อแบรนด์แข็งแรงแล้วก็สร้างแบรนด์ตัวเอง จึงอยากจะไปทำร้านในเมืองใหญ่ๆ ในศูนย์ช้อปปิ้งทั้งหลายเพื่อเป็นโชว์รูมของประเทศไทย

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าช่วงที่คิดเป็นช่วงปลายปี 2548 เป็นช่วงที่การเมืองเริ่มยุ่งแล้ว บ้านเราเสียเวลาเรื่องการเมืองที่ไร้สาระมากกว่าเรื่องที่มีสาระ เลยทำให้เรื่องมีสาระถูกละเลยเป็นประจำ เป็นช่วงๆ เมื่อเจอปีเตอร์เลยอยากสานต่อเพื่อให้แนวคิดเป็นสากล

“และเป็นช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่พอดีมีปฏิวัติเสียก่อนเลยต้องพักไป ตอนนี้กลับมาใหม่ จะเอาของเก่าที่ดีไซน์ไว้มารีเฟรชใหม่ และดูว่าจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อ จำไว้ว่าผมเป็นรัฐบาลหรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่มีเลิกทำ เพราะที่ทำทั้งหมดออกเงินเองเพราะต้องการให้เป็นโซเชียลเอนเตอร์ไพรซ์ของคนไทย ไม่ใช่ของการเมือง เพื่อให้การพัฒนาประเทศในด้านครีเอทีฟอีโคโนมีต่อเนื่องยาวนาน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ต้องรีบทำให้สินค้าหรือดีไซน์แบบของไทยทำเงินได้ เด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะเจน Z จะห่วงเรื่องสถานะการเงินของเขามาก ถ้าเขาไม่มีช่องทางหารายได้ เขาก็ทิ้ง แต่ขึ้นกับเศรษฐกิจ เราจะต้องทำเศรษฐกิจฟื้นตัวให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวทำอะไรก็ขายได้ วันนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจยากกว่าสมัยก่อนเพราะหมักหมมมานาน แต่ก็ต้องแก้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัววันนั้นคนรุ่นใหม่จะหันกลับเป็นช่องทางทำมาหากินอีกช่องทางหนึ่ง

“วันนี้มันอยู่ที่การเอาจริงเอาจัง หากรัฐเอาจริงเอาจัง ข้าราชการก็ร่วมมือ เมื่อข้าราชการร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ วันนี้กระทรวงมหาดไทยต้องร่วมมือเต็มที่ เป็นกระทรวงสำคัญที่จะนำนโยบายไปสู่ประชาชน นั่นคือผู้ว่าฯ นายอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้าน เขาอยู่ติดชาวบ้านที่สุด ถ้าเขาร่วมมือปุ๊บทุกอย่างจะขับเคลื่อนได้ คนที่ช่วยขับเคลื่อนคือกระทรวงมหาดไทยต้องมูฟ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 10 ก.ค.ตนจะเอาแนวคิดที่จะทำไทยเวิร์คมาคุยกับปีเตอร์ โดยจะดูว่าอะไรที่จะนำไปลงหมู่บ้านชุมชน ก็จะฝากให้รมว.มหาดไทย รมว.อุตสาหกรรมไปช่วยกัน วันนี้เอสเอ็มอีเรามีปัญหาเพราะโดนเอาของจีนราคาถูกมาขาย ซึ่งตนจะเชิญเอสเอ็มอีมาฟังเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นการขับเคลื่อนของไทยเวิร์คจะลงไปในสองระดับ ส่วนระดับสู่ตลาดโลกนั้นเราจะใช้ทีมของปีเตอร์ซึ่งมีความกว้างขวางในวงการตลาดโลกพอสมควร รู้จักแบรนด์ต่างๆ ว่าเราจะผลิตป้อนแบรนด์หรือจะดีไซน์ร่วมอย่างไร หรือจะทำแบรนด์ของเราต่างหาก เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำต่อไป รอให้ท่านนายกฯ ได้กลับไปทำงานก่อน ตนเป็นคนใจร้อนตอนนี้ 76 ปีแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน รีบๆ ทำเถอะ

นายทักษิณ กล่าวถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ว่า ตนทำมาทุกอย่างผ่านมาเยอะ ตอนนี้คนในฮอลิวูดส์เริ่มซื้อสคริปต์หนังไทยไปแปลแล้ว เพราะคนไทยเขียนนิยายเก่ง โดยเฉพาะการเมือง นิยายน้ำเน่าเยอะ ฉะนั้นหากเราทำหนังดีๆมีคุณภาพและเปิดตลาดให้กว้างขึ้นแล้วรัฐช่วยสนับสนุน โดยคุยกับสถาบันการเงินจะทำให้หนังไทยโตได้ ส่วนเรื่องการคืนภาษีทำให้ต่างประเทศได้ก็ทำให้คนไทยได้เช่นกัน สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์วันนี้ต้องทำสมองให้พัฒนาในการทำงาน อย่าไปพัฒนาการทำร้ายซึ่งกันและกันประเทศมันอยู่ไม่ได้

นายทักษิณ กล่าวถึง อนาคตซอฟต์พาวเวอร์ของไทย จะขับเคลื่อนอย่างไร และจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือไม่ว่า ก่อนอื่นปัญหาใหญ่ของประเทศนั่นคือความไม่สามัคคี มีความอิจฉาริษยา ถ้าเราอยู่ด้วยความสามัคคี ไม่อิจฉาริษยา เกื้อกูลกันซอฟต์พาวเวอร์จะมีพลังมหาศาล ถ้าคนไทยมีสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วจะสามารถสร้างพลังซอฟต์พาวเวอร์ได้หลากหลายสาขาหลากหลายช่องทาง นั่นคือช่องทางทำมาหากินทั้งนั้น แม้โลกจะมีเทคโนโลยีใหม่ ทันสมัยแค่ไหนก็หนีคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องไม่ทิ้งแกนเดิม เรามีของดีอยู่แล้ว เรามีคนไทยซึ่งมีสายเลือดอยู่ในพวกนี้อยู่แล้ว ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่สำคัญคือพอสร้างขึ้น พอคนนั้นเริ่มโต คนนี้มาอิจฉากัน ตรงนี้ต้องทิ้งๆไว้บ้าง เข้าวัดหน่อย

‘กมธ. อุตสาหกรรม’ เสนอแก้ไขกฎหมายสถานพยาบาล คุมเพดานกำไรค่ารักษา – ยา สร้างความเป็นธรรมผู้ใช้บริการ

กมธ.อุตสาหกรรม เสนอแก้ไขกฎหมายสถานพยาบาล กำหนดเพดานค่ารักษา ค่ายาและเวชภัณฑ์ คุมกำไรค่ารักษา ค่ายาและเวชภัณฑ์ต่อหน่วย สร้างความเป็นธรรมต่อพี่น้องประชาชน ผู้บริโภค และผู้ใช้บริการ 

วันที่ (9 ก.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวถึงการยื่นแก้ไขร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฉบับที่... พ.ศ. ... ว่า 

จากการได้รับข้อร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชนนั้นมีราคาสูงเกินสมควร และส่งผลกระทบแก่ผู้เข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมซึ่งได้ดูแลอุตสาหกรรมทางการแพทย์ด้วย จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีความเห็นตรงกันว่าการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลจะเป็นการแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคหรือผู้ป่วยที่ใช้บริการสถานพยาบาลเอกชน หรือ โรงพยาบาลเอกชนที่ต้นเหตุ 

สำหรับการยื่นแก้ไขร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฉบับที่... พ.ศ. ... โดยคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมนั้นมีการแก้ไขใน 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่

การแก้ไขมาตรา 7 ในส่วนของ ‘คณะกรรมการสถานพยาบาล’ ซึ่งมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานคณะกรรมการ โดยร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฉบับแก้ไข จะมีการเพิ่มผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์และผู้แทนของสภาองค์กรของผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมเป็นกรรมการสถานพยาบาล 

เพื่อให้คณะกรรมการสถานพยาบาลได้มีการใช้อำนาจในการกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าเวชภัณฑ์ และค่าบริการอื่น ๆ ในอัตราสูงสุด หรือกำหนดเพดานค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน รวมถึงอัตรากำไรขั้นสูงสุดต่อหน่วยของอัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  ตามที่จะได้มีการแก้ไขในมาตรา 11/1 ในร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลที่ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีการเสนอให้แก้ไขไปด้วย

“การแก้ไขกฎหมายสถานพยาบาลจะทำให้พี่น้องประชาชน ผู้บริโภค และผู้เข้ารับบริการได้รับความเป็นธรรมจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากยิ่งขึ้น” นายอัครเดชกล่าวในตอนท้าย

‘อิ๊งค์’ โต้กลับ ‘อนุทิน’ ใส่สีปม ‘สีจิ้นผิง’ ท้วงไทย ทำกาสิโนทำนักท่องเที่ยวจีนลด 90% ย้อนพ้น มท.1 ไม่นานทำลืมสาเหตุ

(9 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 9 ก.ค.ที่รัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน แสดงท่าทีต่อนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล และเตือนไทย 3 ครั้ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ว่า ในระหว่างการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ได้หารือกับนายสี จิ้นผิง และมีคำแนะนำในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรารับฟังและอธิบายให้ฟังว่าเราเน้นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้เน้นกาสิโน เพราะจะมีกาสิโนแค่ประมาณ 10% และเห็นว่าทาง สิงคโปร์และมาเก๊า ทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แล้วประสบความสำเร็จ จึงมองว่าหากทุกประเทศที่ใกล้กัน มีเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์เหมือนกัน จะเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว ส่วนการที่เอามาเล่าอีกรูปแบบหนึ่งก็มีการใส่สีตีไข่ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงคำแนะนำของจีน และเราพร้อมรับฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่านายอนุทิน ระบุชัดว่า นายสีจิ้น ผิง เตือนไทยถึง 3 ครั้งว่าหากไทยยังไม่ถอย จะกระทบกับนักท่องเที่ยวจีน ที่จะเข้ามาในประเทศไทยซึ่งหายไปกว่า 90% น.ส.แพทองธาร ย้อนถามกลับว่า เกิดขึ้นแล้วใช่หรือไม่ที่นักท่องเที่ยวหายไป 90% และกล่าวต่อว่า “ท่านอดีต มท.1 ออกไปได้ไม่นาน ลืมซะแล้วว่าเหตุผลที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เดินทางมาเที่ยวไทย เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัย และเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยอย่างไร ที่ไม่มาเพราะเป็นเรื่อง ความปลอดภัย ที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามาไทย และความจริงแล้วตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงโลว์ซีซั่น ลดลงประมาณ 30% แต่เรามีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเข้ามาเติมมากขึ้น พร้อมยอมรับว่านักท่องเที่ยวจีนลดลงจริง เพราะมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และจริงๆแล้วมีปัญหาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องปัญหาคอลเซ็นเตอร์ การตัดน้ำ ตัดไฟ ที่เมื่อจะตัดก็ตัดยาก ต้องสั่งแล้วสั่งอีก ไม่ทราบว่าได้จดเรื่องนี้หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้น“

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายอนุทิน ระบุว่าหากไทย ไม่ยอมถอยนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จีนจะมีการปรับมาตรการเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวที่ จะเข้ามาในไทย นายสีจิ้นผิง พูดจริงหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นายสี จิ้นผิงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนที่เราจะอธิบายว่าไม่ได้สนับสนุนกาสิโน และหากประเทศไหนมีกาสิโน ก็จะดูว่านักท่องเที่ยวจีน ที่จะเข้าไปประเทศจะเป็นอย่างไร ไม่ได้บอกว่าจะมีการปรับมาตรการ และเราได้ถามกลับไปว่ามีข้อแนะนำหรือข้อกำหนดอย่างไรหรือไม่ เพราะเราไม่ได้ปิดประตูและพร้อมรับฟังคำแนะนำว่ามีนโยบายต่อการท่องเที่ยวอย่างไร ที่จะเป็นประโยชน์กับเรา ซึ่งทำแบบนี้กับทุกประเทศ ว่ามีอะไรที่จะเอื้อเฟื้อกันได้ อะไรที่จะปรับกันได้ ขอคุยล่วงหน้าก่อน เมื่อนายสี จิ้นผิง พูดเรื่องนี้เราก็อธิบายต่อว่าเราจะทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เหมือนที่มาเก๊าและสิงคโปร์ทำ หากทำสำเร็จ จะมีการจ้างงาน เกิดขึ้นมากมาย นี่เป็นขั้นตอนของการพูดคุยกัน และการต่างประเทศ ก็มีบันทึกอยู่ แต่เมื่อนำมาเขียนแบบนี้ใส่สีเข้าไป ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่

เมื่อถามว่าร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะแค่ถอนร่างหรือชะลอออกไป น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้เป็นไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร บางเรื่องตนขอไม่ตอบ เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯเกรงว่าหากพูดอะไรไปจะเป็นการไม่เคารพอำนาจศาล แต่ที่ตอบเรื่องของประเทศจีน เพราะตอนนั้นทำหน้าที่นายกฯ

เมื่อถามว่าตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าเหตุใด นายอนุทิน จึงมาเปิดเผยเรื่องนี้ ในวันที่จะมีการพิจารณาถอนร่างเอ็นเตอร์เทนท์คอมเพล็กซ์ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้พี่น้องประชาชนตั้งข้อสังเกตได้เลย เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยคุยกัน ก็ทราบอยู่แล้วว่ามีเรื่องของการติดขัดในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่อยากให้ทำเป็นกฎหมายพิเศษ อยากให้เป็นแค่คำชี้แจงหรือสเตจเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่ไม่มีกาสิโน จึงถามว่าแบบนี้ใครจะมาลงทุน และเมื่อทำเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ กระทรวงมหาดไทยอาจจะมีติดขัดอะไรหรือไม่ เพราะสามารถออก พ.ร.บ. การพนัน แยกไปได้ และมีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว ว่าหากมีการออกเป็นกฎหมายพิเศษเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ เลยจะขัดข้องหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

‘อนุทิน’ ปูด ‘สี จิ้นผิง’ ย้ำให้เลิกกาสิโน แต่รบ. เมินเฉย ชี้ เป็นต้นเหตุทำนักท่องเที่ยวจีนไม่เดินทางมาไทย

‘อนุทิน’ ปูด ‘สีจิ้นผิง’ เตือน ‘นายกฯอิ๊งค์’ 3 ครั้ง ไม่ให้ทำกาสิโน แต่ไม่ฟัง ชี้ เป็นต้นเหตุทำให้คนจีนไม่มาเที่ยวไทย

(9 ก.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า พรรคภูมิใจไทยยินดีและพร้อมสนับสนุนให้มีการถอนญัตติ การนำเสนอร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายกาสิโน ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะยกเลิกนโยบายนี้และไม่นำกลับเข้าสู่การพิจารณาอีกต่อไป 

นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรเป็นสิ่งที่ถูกอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ให้ความร่วมมือกับพรรคแกนนำรัฐบาลและเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นที่มีความคิดจะกดดันให้พรรคภูมิใจไทยต้องออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่พร้อมที่จะให้การสนับสนุนร่างกฎหมายนี้เพียงแต่ไม่พูดออกมาเพราะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว จึงพร้อมใจกันให้พรรคภูมิใจไทยรับบทเป็นผู้ร้ายต่อพรรคแกนนำรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งถึงวันที่มีความพยายามจะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในสมัยประชุมสภาที่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลแทบทุกพรรคก็ได้แสดงท่าทีที่ไม่สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และถึงขั้นที่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อสาธารณชน โชคดีที่นายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจชะลอการนำเสนอกฎหมายในวันนั้นและได้ขอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปอีกสมัยประชุมหนึ่ง 

ถึงแม้ว่าวันนี้รัฐบาลจะมีการเสนอให้ถอนญัตตินี้ออกไปแต่ก็ถือว่ามันสายไปเสียแล้ว การดำเนินนโยบายนี้มาอย่างต่อเนื่องได้สร้างความเสียหายอย่างยับเยินแก่ภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างรุนแรงที่สุดจนไม่อาจเยียวยาได้อีก

รัฐบาลทราบเป็นอย่างดีว่าจีนมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่ทางการไทยจะผ่านกฎหมายให้มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรพร้อมกับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันได้และได้มีการพูดตอกย้ำถึงสามครั้งในที่ประชุมระดับผู้นำของทั้งสองประเทศว่าขอให้ยกเลิกนโยบายนี้เสีย มิฉะนั้นรัฐบาลจีนมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการต่างๆที่จะทำให้คนจีนและกิจการต่าง ๆ ของจีนปรับท่าทีต่อการท่องเที่ยวรวมไปถึงท่าทีต่อการค้าและการลงทุนกับไทยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ นี่คือการหารือในระดับผู้นำประเทศทั้งสองคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผมได้ร่วมประชุมอยู่ด้วยและได้จดบันทึกการประชุมในประเด็นนี้อย่างละเอียดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องเป็นอันมากต่อการดำเนินนโยบายนี้ แน่นอนว่าผู้นำจีนไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งการให้รัฐบาลไทยทำตามที่เขาต้องการ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ออกไปในทางเมินเฉยและไม่ให้ความสำคัญต่อความเห็นจากผู้นำของจีนตลอดจนการดำเนินการผลักดันเร่งรัดให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร(กาสิโน) ได้รับการบรรจุอยู่ในวาระแรกของสมัยประชุมสภานี้ย่อมต้องเป็นสาเหตุหนึ่งของการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากจีนในปัจจุบันอย่างแน่นอน

ผลพวงอันเลวร้ายที่ได้เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้ก็คือ การหายไปของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ประชาชนที่อยู่ในภาคธุรกิจบริการ กิจการโรงแรม ที่พัก การขายสินค้าไทย ของที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าปลีก แผงขายของ ทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน นี่เพียงแค่อยู่ในขั้นตอนการบรรจุญัตติเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายเท่านั้นนะ เขายังส่งสัญญาณเตือนมาขนาดนี้  คงไม่ต้องนึกถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากการถอนญัตตินี้ รัฐบาลไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะไม่นำกลับเข้ามาอีกแล้ว ความสูญเสียและความเสียหายของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครทราบว่าจะฟื้นสภาพขึ้นมาได้อีกเมื่อใด ผู้คนที่อยู่ในภาคส่วนนี้ก็คงจะต้องประสบสภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างสาหัสที่สุดเป็นแน่แท้ คนจีนที่ยังคงอยู่ในเมืองไทยก็คงจะเป็นพวกจีนเทาเสียเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่จะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเรา

ช่วงนี้รัฐบาลดำเนินการผิดพลาดหลายเรื่องซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่ประมาณค่าความเสียหายไม่ได้ ทั้งเรื่องความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน การเปลี่ยนนโยบายแจกเงินประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และล่าสุดการยืนยันของประธานาธิบดีสหรัฐในเรื่องภาษี  ดังนั้นวันนี้ขอรัฐบาลอย่าทำผิดพลาดอีกเลย อย่านึกถึงกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่มแล้วแลกด้วยความเสียหายย่อยยับของพี่น้องประชาชนที่เขาเคยได้รับรายได้เลี้ยงชีพจากนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมหาศาลก่อนที่จะมีคำว่าสถานบันเทิงครบวงจรซึ่งแฝงด้วยบ่อนการพนันหรือคาสิโนมาทำลายชีวิตและธุรกิจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นคง สร้างรายได้ให้กับประชาชนของประเทศ  ไม่ใช่ให้กับกลุ่มทุนซึ่งมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของเรา รัฐบาลต้องไม่ผลักดันนโยบายที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศและต่อคู่ค้าที่มีสถานะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีกด้วย เราควรต้องให้ความสำคัญต่อความเห็นและท่าทีของประเทศที่มีทัศนคติที่ดีต่อเราและยังมีการสานต่อสายสัมพันธ์อันดี จนมีคำกล่าวว่า “จีนและไทยมิใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” หากการยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะมีส่วนทำให้นักท่องเที่ยวและการค้าการลงทุนจากจีนพลิกฟื้นกลับขึ้นมาแล้วส่งผลให้ประชาชนของเราได้สร้างรายได้อย่างที่เคยเป็นมา รัฐบาลก็ต้องนึกถึงโอกาสของพวกเขาเป็นลำดับแรก

ถึงแม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะอยู่ในซีกฝ่ายค้านในวันนี้ แต่ผมในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ยืนยันเสมอว่า พรรคพร้อมที่จะให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล หากนโยบายนั้นเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้สนับสนุนการถอนญัตติกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรหรือ Entertainment Complex และได้ยินการประกาศยกเลิกนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาลชุดนี้ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วยเถิดครับ พรรคภูมิใจไทยพร้อมยกมือเห็นด้วย และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราในที่สุด

‘สุริยะใส’ กระตุก!! มาตรฐานการเมือง ‘พรรคประชาชน’ กินข้าวข้ามพรรค ต้องซื่อตรงต่อทุกฝ่าย ไม่ย้อนแย้งกันเอง

(6 ก.ค. 68) ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

‘มาตรฐานทางการเมืองต้องซื่อตรงต่อทุกฝ่าย มิใช่เข้มงวดกับผู้อื่นแต่ผ่อนปรนต่อตนเอง’

กรณีการพบปะระหว่างสมาชิกพรรคประชาชนกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แม้ในทางการเมือง การพูดคุยหรือพบปะระหว่างนักการเมืองต่างพรรคจะมิใช่เรื่องผิดปกติ หากถือเป็นวิถีในระบอบประชาธิปไตยที่การสื่อสารและการเจรจาคือกลไกสำคัญในการแสวงหาฉันทามติ แต่สิ่งที่ทำให้กรณีนี้กลับกลายเป็นประเด็นร้อนและก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในสังคม ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ หากแต่อยู่ที่บริบทของผู้กระทำและมาตรฐานที่พรรคการเมืองนั้นเคยประกาศยึดถือ

พรรคประชาชนเป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นจากเจตจำนงที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเมืองไทย เป็นพรรคที่ยืนหยัดวิพากษ์การเมืองแบบเก่า ต่อต้านการเมืองใต้โต๊ะ ต่อต้านการต่อรองลับหลัง และประกาศความโปร่งใสเป็นหลักการสูงสุด แต่เมื่อสมาชิกของพรรคแสดงพฤติกรรมในลักษณะที่เคยถูกใช้เป็นข้อกล่าวหาโจมตีผู้อื่น

พรรคกลับไม่มีคำอธิบายที่เพียงพอหรือการแสดงความรับผิดชอบที่ชัดเจนต่อสาธารณะ สิ่งนี้จึงไม่ใช่เพียงการถูกตั้งคำถามจากสังคม แต่คือการที่พรรคกำลังทำลายทุนทางศีลธรรมที่ตนเองได้สร้างสะสมมาตลอด

มาตรฐานทางการเมืองมิใช่สิ่งที่เลือกใช้เฉพาะเวลาที่พูดถึงผู้อื่น และมิใช่สิ่งที่จะอ่อนลงเมื่อต้องหันกลับมาตรวจสอบตัวเอง พรรคการเมืองที่อ้างความใหม่และยืนยันความแตกต่างจากการเมืองเดิม ต้องมีความกล้าหาญที่จะซื่อตรงต่อมาตรฐานเดียวกัน ทั้งต่อบุคคลภายนอกและภายใน การนิ่งเงียบ การเบี่ยงเบน หรือการลดทอนความสำคัญของข้อครหาในครั้งนี้ ไม่เพียงทำลายความน่าเชื่อถือของพรรค แต่ยังตอกย้ำภาพการเมืองที่ไม่สามารถรักษาหลักการของตนเองได้เมื่อถึงเวลาสำคัญ

สุดท้ายแล้ว การเมืองจะไม่ถูกวิจารณ์เพียงเพราะสมาชิกพรรคไปกินข้าวหรือพูดคุยกับนักการเมืองต่างพรรค แต่จะถูกวิจารณ์เมื่อสิ่งที่เคยกล่าวหาผู้อื่น กลับถูกทำซ้ำโดยคนของตัวเองโดยไม่มีความซื่อตรงในการชี้แจง (ตอนที่คุณธนาธร ไปพบคุณทักษิณ ที่ฮ่องกง ก็อ้างว่าเจอโดยบังเอิญและอคุยกันเรื่องทั่วไป)

ความเข้มแข็งของมาตรฐานทางการเมืองมิใช่อยู่ที่ความเข้มงวดกับผู้อื่น แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและความจริงใจกับตนเอง เพราะประชาธิปไตยที่ประชาชนคาดหวัง คือการเมืองที่คำพูดและการกระทำไม่ย้อนแย้งกันเอง…

'เทพชัย' ซัด!! ‘แพทองธาร-ทักษิณ-เศรษฐา’ ขึ้นเวทีฟอกขาว!! มหกรรมซอฟต์พาวเวอร์

(6 ก.ค. 68) นายเทพชัย หย่อง สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thepchai Yong’ กล่าวถึง 3 นายกฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร , นายทักษิณ ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ในงาน SPLASH มหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เพื่อผลักดันประเทศไทยให้เติบโตเข้าสู่เส้นทางเศรษฐกิจและรายได้ใหม่ที่ยังยืน

ระบุว่า “ไม่ต้องเกรงใจใครทั้งสิ้น รัฐบาลชูทักษิณ เศรษฐา อุ๊งอิ๊ง ในเวทีที่เรียกซะสวยหรูว่า SPLASH – Soft Power Forum 2025 ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์สัปดาห์หน้า แต่ดูแล้วมันน่าจะเป็นเวที whitewash หรือ “ฟอกขาว” (ด้วยเงินภาษีประชน) ให้กับทั้งสามคนมากกว่า”

ทั้งนี้ งาน ‘SPLASH – Soft Power Forum 2025’ เป็นมหกรรม Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาและอนุกรรมการทุกสาขา โดยประสานพลังภาครัฐ เอกชน ชุมชน และเครือข่ายนานาชาติ เพื่อยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

‘นิด้าโพล’ เผย!! ผลสำรวจความคิดเห็นคนไทย มอง!! ‘ฮุนเซน’ เป็นบุคคลไม่น่าไว้วางใจ

(6 ก.ค. 68)  ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง ‘ฮุน เซน’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชนต่อความเคลื่อนไหวของสมเด็จ ฮุน เซน ในกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามความรู้สึกของประชาชนต่อความเคลื่อนไหวของสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 67.63 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง รองลงมา ร้อยละ 57.25 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน เป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ร้อยละ 44.66 ระบุว่า คำพูดของสมเด็จ ฮุน เซน ไม่มีความน่าเชื่อถือ ร้อยละ 40.53 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน กำลังยุให้คนไทยแตกแยกกัน ร้อยละ 25.34 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ต้องการยึดครองดินแดนของไทย ร้อยละ 18.85 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน กำลังแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย ร้อยละ 14.12 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน กำลังเปิดเผยความลับเกี่ยวกับการเมืองไทย ร้อยละ 9.31 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา ร้อยละ 3.36 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนชาวกัมพูชา ร้อยละ 1.30 ระบุว่า คำพูดของสมเด็จ ฮุน เซน มีความน่าเชื่อถือ และร้อยละ 0.53 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อคำทำนายของสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
ที่บอกว่าประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีภายในสามเดือนและรู้ด้วยว่าใครจะเป็นนายกฯ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 43.05 ระบุว่า ไม่น่าเชื่อ รองลงมา ร้อยละ 34.12 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำนายมั่ว ๆ ร้อยละ 33.97 ระบุว่า เป็นความพยายามยุให้คนไทยตีกัน ร้อยละ 30.31 ระบุว่า การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็นไปได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ร้อยละ 25.34 ระบุว่า เป็นการวิเคราะห์ตามสถานการณ์ทางการเมืองไทย ร้อยละ 19.01 ระบุว่า เป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย ร้อยละ 14.66 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน พูดตามข่าวกรองที่ได้มา ร้อยละ 10.69 ระบุว่า เป็นการเตือนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และร้อยละ 7.25 ระบุว่า  น่าเชื่อ

‘ดุสิตโพล’ ชี้!! คนไทยคาดหวัง ‘ม็อบ’ กดดันผู้นำรัฐบาล ‘ลาออก-ยุบสภา’ เปิดทางแก้ปัญหาโดยใช้ ประชาธิปไตย

(6 ก.ค. 68) ‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “การชุมนุมทางการเมืองในสายตาคนไทย 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,167 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 1-4 กรกฎาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างไม่สนใจเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง ร้อยละ 38.39 โดยคิดว่าการชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศในระดับปานกลาง ร้อยละ 48.93 จุดเด่นคือสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ร้อยละ 55.28 จุดด้อยคือมีความเสี่ยงต่อความรุนแรง ร้อยละ 48.16  ทั้งนี้เมื่อมีการชุมนุมทางการเมืองก็คาดหวังว่าจะมีการลาออกของผู้นำรัฐบาล ร้อยละ 58.58 ในสถานการณ์ปัจจุบันหากเกิดรัฐประหารก็ไม่เห็นด้วย เป็นการละเมิดระบอบประชาธิปไตย ร้อยละ 42.50

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลสำรวจประชาชนมองว่าการชุมนุมเป็นสิทธิที่พึงมีแต่ไม่ได้เชื่อว่าเป็นทางออกที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริง เนื่องจากที่ผ่านมามักตามมาด้วยผลเสียมากกว่าประโยชน์ของประชาชน แม้รัฐประหารเคยถูกมองว่าเป็นทางออกในบางช่วงเวลา แต่บทเรียนที่เจ็บปวดจากหลายครั้งหลายหน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจนอกระบบอีกต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์กัญญกานต์ เสถียรสุคนธ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ผลการสำรวจข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนการชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2568 กิจกรรมการชุมนุมเกิดขึ้นเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจในนโยบายของรัฐบาลไทยต่อประเด็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา  และท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทย  ต่อปัญหาดังกล่าว การชุมนุมครั้งนี้เป็นการชุมนุมใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นครั้งแรกในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการแสดงออกของประชาชนสอดคล้องกับผลสำรวจที่เชื่อว่าการแสดงออกทางการเมืองในรูปแบบดังกล่าวจะสามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง หรือการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ อันเป็นไปตามแนวทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยและต้องไม่ใช้การรัฐประหารเป็นทางออกเพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนเช่นที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top